มือใหม่ เลือกซื้อไวน์อย่างไรดี ไวน์ ราคา เรทที่ต้องคำนึงถึง

November 5, 2021
7:37 am

การเลือกไวน์สักขวดหรือสั่งไวน์ที่ร้านอาหารดูเหมือนจะเป็นขั้นตอนง่าย ๆ แต่บ่อยครั้งไม่เป็นเช่นนั้น นอกจากคำถามพื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องสีของไวน์แล้ว คุณยังต้องเลือกชนิดขององุ่น ระดับคุณภาพ แหล่งผลิต และคาแรคเตอร์สำหรับไวน์อีกด้วย เหนือสิ่งอื่นใดนั้นคุณจะต้องคำนึงถึงเรื่อง ไวน์ ราคา เท่าไรที่สามารถจ่ายได้ หากคุณจะต้องเลือกไวน์ที่ดีสักขวด ไวน์ ราคา เรทที่คุณจะต้องเลือกพิจารณา ต้องทำอย่างไรบทความนี้มีคำตอบ

การเลือกไวน์สักขวดหรือสั่งไวน์ที่ร้านอาหารดูเหมือนจะเป็นขั้นตอนง่าย ๆ แต่บ่อยครั้งไม่เป็นเช่นนั้น นอกจากคำถามพื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องสีของไวน์แล้ว คุณยังต้องเลือกชนิดขององุ่น ระดับคุณภาพ แหล่งผลิต และคาแรคเตอร์สำหรับไวน์อีกด้วย เหนือสิ่งอื่นใดนั้นคุณจะต้องคำนึงถึงเรื่อง ไวน์ ราคา เท่าไรที่สามารถจ่ายได้ หากคุณจะต้องเลือกไวน์ที่ดีสักขวด ไวน์ ราคา เรทที่คุณจะต้องเลือกพืจารณา หรือเลือกทานกับอะไรบ้างที่ ทำให้เราหาขวดโปรดในใจเจอ ลองติดตามบทความนี้มีคำตอบ

1. อ่านด้านหลังฉลากเพื่อทราบแนวคิดเกี่ยวกับรสชาติ ลักษณะ

คนส่วนใหญ่ซื้อไวน์จากลักษณะภายนอกที่พวกเขาชอบ แต่ไม่ได้คำนึงถึงคำอธิบายของผู้ผลิตไวน์จริง ๆ ฉลากมักบอกรสชาติที่โดดเด่นและลักษณะของไวน์ แล้วในบางครั้งก็แนะนำการจับคู่อาหารด้วย หากคุณอยู่ที่ร้านอาหาร ให้ตรวจสอบคำอธิบายพื้นฐานก่อนเลือกไวน์ อย่างน้อยหนึ่งหรือสองประโยค

สำนวน เช่น “blend” และ “table wine” มักจะถูกกว่า แต่รสจะจืดชืดและไม่สมดุลไวน์เหล่านี้ใช้องุ่นหลากหลายชนิดจากหลายพื้นที่ ซึ่งไม่เหมาะกับไวน์ประเภทใดประเภทหนึ่งโดยเฉพาะ
หากรายการไวน์ที่ร้านอาหารไม่มีคำอธิบาย ให้พูดคุยกับพนักงานเสิร์ฟหรือปรึกษาซอมเมอลิเยร์ประจำร้าน
ชนิดองุ่น หากเห็นตัวอักษรที่เขียนว่า Merlot ที่อยู่บนฉลากไวน์ เป็นชื่อชนิดขององุ่นที่ใช้ในการผลิตไวน์นั่นเอง รสชาติและกลิ่นของไวน์จะมีความแตกต่างกันโดยจะขึ้นอยู่กับชนิดขององุ่นที่ใช้ในการผลิต แต่ถ้าบนขวดไวน์นั้นไม่ได้ระบุชื่อขององุ่นแต่ละชนิดที่ใช้ในการผลิตไวน์ นั่นอาจหมายความว่า ไวน์นั้นใช้องุ่นหลายชนิดมาผสมกัน
ปีที่ผลิต การดูอายุของไวน์ได้จากปีที่ผลิต อาจจะอยู่ที่คอหลังขวด ซึ่งปีที่ผลิต สามารถบ่งบอกได้ถึงคุณภาพและรสชาติของไวน์

ชื่อของผู้ผลิต ชื่อของผู้ผลิตส่วนใหญ่จะอยู่บนหน้าฉลากเสมอเช่นเดียวกับแหล่งที่ผลิตไวน์ ซึ่งชื่อแบรนด์บ่งบอกความเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์
ปริมาณแอลกอฮอล์ เพื่อให้เราทราบว่าในไวน์มีแอลกอฮอล์อยู่ที่ระดับเท่าใด ต่ำหรือสูงกว่าปริมาณแอลกอฮอล์ที่ที่เราต้องการ
คุณภาพของไวน์ เป็นส่วนที่บอกว่าไวน์ขวดนี้ผ่านการรับรอง หรือผ่านเกณฑ์มาตรฐานอะไรมาบ้าง เพื่อที่จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในคุณภาพ

2. พิจารณาว่าอาหารมีรสชาติเข้มข้นหรือไม่เพียงใด และจับคู่กับไวน์ที่มีส่วนผสมคล้ายคลึงกัน

ความคิดที่ว่า “ไวน์แดงกับเนื้อ ไวน์ขาวกับปลา” ง่ายเกินไป เป้าหมายที่สำคัญกว่าคือการเลือกไวน์และอาหารให้สอดคล้องซึ่งกันและกัน อาหาร “หนัก” มักจะมีรสเข้มข้น เช่น ซอสเนื้อ อาหารรสเผ็ด ซุปหรือสตูว์ และต้องใช้ไวน์ที่ปรุงแต่งรสเข้มข้นเพื่อตัดเป็นรสชาติเหล่านี้

ไวน์ที่มีคำอธิบายว่า “full-bodied,” “deep,” “complex,” “rich,” or “densely layered” เหมาะอย่างยิ่งกับอาหารรสจัดหรืออาหารที่มีรสเผ็ดร้อน
ไวน์ที่อธิบายว่า “light,” “balanced,” “crisp,” or “refreshing” สำหรับอาหารมื้อเบาที่มีรสชาติน้อย เช่น ผัก พาสต้า ปลา ไก่ และชีส

แต่ถ้าหากคุณไปร้านอาหาร ก็ไม่ต้องกังวลใจไปให้ ซอมเมอลิเยร์ มืออาชีพผู้แนะนำไวน์ โดยเฉพาะ มาแนะนำ เราเกี่ยวกับ “Wine List” ที่ปรากฎอยู่ในเมนู เรื่องการแพร์ริ่งไวน์กับอาหาร และเสนอไวน์ในราคาที่คุณสะดวกได้เป็นอย่างดี

3.พยายามหารสชาติของไวน์ที่เติมเต็มรสชาติในจานด้วยการจับคู่ง่ายๆ

ตัวอย่างเช่น จับคู่ไวน์ขาวรสเปรี้ยวอมส้มกับไก่มะนาว สโมกกี้สีแดงเข้มกับหมูย่าง การจับคู่รสชาติเหล่านี้จะช่วยสร้างประสบการณ์การรับประทานอาหารที่ดี ไร้รอยต่อ โดยเน้นความสำคัญทั้งในจานและไวน์

ลองจินตนาการว่าอาหารจะมีรสชาติอย่างไรหากเพิ่มรสชาตินั้นจากไวน์ตัวอย่างเช่น หากคุณมีไวน์สีแดงเข้มที่มีคำใบ้ของช็อกโกแลต เครื่องเทศ และแบล็คเบอร์รี่ ให้ถามตัวเองว่าช็อกโกแลต เครื่องเทศ และแบล็คเบอร์รี่ดูไม่เข้าอะไรกับอาหารในจานของคุณ ไม่มีการเปรียบเทียบที่สมบูรณ์แบบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการเลือกไวน์

4. ค้นหารสชาติที่ตัดกันเพื่อทำให้อาหารในจานโดดเด่น

มีหลายคู่มือพูดถึงเรื่องการจับคู่ไวน์ เพื่อเสริมรสชาติและตัดกันอย่างลงตัวแต่นั่นไม่ถูกต้องทั้งหมด ตัวอย่างเช่น อาหารที่มีรสเค็มและเป็นกรด เช่น หอยนางรม เข้ากันได้ดีกับ Sauvignon Blanc รสผลไม้ที่นุ่มกว่า แกงเผ็ดร้อนที่มีน้ำมันเข้ากันได้ดีกับไวน์แดงที่เป็นกรด

เมื่อพิจารณาถึงรสชาติที่ตัดกัน ให้นึกถึงความเป็นกรดของอาหารและเนื้อสัมผัสอาหารที่มีน้ำมันหรือครีมจะถูกตัดโดยไวน์ที่เป็นกรด (รสจัด) อาหารที่เป็นกรดจะสมดุลโดยไวน์ที่มีรสขมน้อยกว่าและมีรสขมน้อยกว่า

หากเป็นอาหารจานซับซ้อนที่มีรสชาติหลากหลาย เช่น ข้าวผัดสเปน เข้ากันได้ดีกับไวน์ที่เรียบง่ายและมีความสมดุล

5 .จับคู่ไวน์รสหวานกับอาหารรสจัด

ตัดเครื่องเทศด้วยไวน์หวานซึ่งจะเติมเต็มซึ่งกันตามธรรมชาติ โปรดจำไว้ว่าไวน์ที่มีน้ำหนักเบาจะเป็นสีแดงหรือสีขาวก็ได้ ขึ้นอยู่กับความชอบของคุณ แต่ร้านอาหารเกือบทั้งหมดจะเสนอไวน์ที่ “สดชื่น” หรือ “ผลไม้” มากกว่า

ไวน์ที่มีรสหวาน เช่น รีสลิง (พันธุ์องุ่น) เข้ากันได้ดีกับอาหารรสเผ็ด ในขณะที่ไวน์ที่ทำจากไม้ เช่น ชาร์ดอนเนย์ เข้ากันได้ดีกับอาหารประเภทครีมหรืออาหารที่มีสมุนไพรและเครื่องปรุงรสหลายชนิด ผลไม้รสเปรี้ยว เบอร์รี่ กลิ่นดอกไม้ และกลิ่นเครื่องเทศอ่อน ๆ เช่น วานิลลา เข้ากันได้ดีกับอาหารรสเผ็ด

6 .ขอคำแนะนำจากซอมเมอลิเยร์หรือพนักงานร้านไวน์

ซอมเมอลิเยร์ที่ร้านอาหารหรือพนักงานที่ร้านไวน์สามารถให้คำแนะนำในเลือกไวน์ที่จะช่วยเสริมมื้ออาหารของคุณได้ รวมถึงแนะนำไวน์ราคาต่าง ๆ โดยอิงตามสิ่งที่คุณวางแผนจะจับคู่กับไวน์

ในส่วนใหญ่ร้านอาหารยอดนิยมบางแห่งอาจมีซอมเมลิเย่ร์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านไวน์โดยเฉพาะคอยช่วยเหลือลูกค้าในการเลือกไวน์ราคาต่าง ๆ ได้

7.พิจารณาอายุไวน์

ไวน์ทุกชนิดมีการเปลี่ยนแปลง พัฒนาไปตามอายุ สิ่งที่ซับซ้อนยิ่งกว่านั้นคือไวน์ทุกชนิดมีอายุแตกต่างกัน

เมื่อเลือกซื้อสไตล์ที่เบา สดชื่น และดื่มง่าย ให้มุ่งไปที่ขวดที่อายุน้อยกว่า ซึ่งไวน์มักจะสูญเสียคุณภาพผลไม้ตามอายุ ไวน์ที่ซับซ้อนและหนาแน่นขึ้นมักต้องใช้เวลาสักสองสามปีเพื่อพัฒนารสชาติที่ดีที่สุด ไวน์ที่มีอายุมากจะทำให้ “แทนนิน” ความรู้สึกขมเฝื่อนๆ หรือรสฝาด อ่อนตัวลง ซึ่งรสขมเป็นรสที่โดดเด่นในไวน์หลายชนิด ความเข้มข้นของรสชาติโดยทั่วไปจะเพิ่มขึ้นตามอายุ